Page 5 - Ebook_AGRI_ 8-3
P. 5
วารสารเกษตรหันตราปีที่ 8 ฉบับที่ 3 ประจ าเดือน กันยายน – ธันวาคม 2565 Kaset Huntra Gazette Vol.8 No.3 September - December 2022
เฟิร์นกินได้ “ผักกูด”
The vegetable fern
“Diplazium esculentum (Retz.) Sw.”
ผักกูด (Vegetable fern) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Diplazium การปลูก
esculentum (Retz.) Sw. เป็นพืชตระกูลเฟิร์น (Athyriaceae) o ระยะปลูก 50 x 50 เซนติเมตร เนื่องจากมีขนาดทรง
และเป็นเฟิร์นกินได้ (Edible fern) [3] มีลักษณะวิสัยคือ เป็นเฟิร์น พุ่มกว้าง
ต้นขนาดใหญ่ เหง้าทอดเลื้อยตามผิวดิน (Rhizome) ลักษณะใบ o วิธีการปลูก มี 2 วิธี ได้แก่ การปลูกร่วมกับพืชชนิดอื่น
เป็นใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชั้น ใต้ใบมีสปอร์สีน้ าตาลเรียงตาม (เช่น กล้วย ยางพารา สัก เป็นต้น) เพื่อใช้พืชอื่นในการ
พรางแสง
แนวเส้นใบเพื่อใช้ในการขยายพันธุ์ ยอดใบอ่อนม้วนงอ (Young
shoots or fronds) เป็นส่วนที่นิยมน ามาบริโภค ผักกูดมีถิ่นอาศัย o การปลูกภายใต้การพรางแสงด้วยสแลนขนาด 60-80
เปอร์เซ็นต์
สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่ฝนตกชุกและความชื้นค่อนข้างสูง การดูแลรักษา
และพบมากตามริมห้วยที่มีแสงแดดร าไรหรือที่ชุ่มชื้นในป่าทั่ว o ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลัก เช่น มูลวัว มูลไก่ ใส่ทุก ๆ
ประเทศไทย จึงท าให้มีชื่อเรียกเฉพาะถิ่นแตกต่างกัน ได้แก่ 3 เดือน ต่อครั้งเพื่อปรุงดิน
ภาคเหนือ (เรียกว่า ผักกูด กูดกิน ผักกูดหลวง) ภาคกลาง (เรียกว่า o ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ า เช่น น้ าจุลลินทรีย์หมัก 1-2 ครั้ง
ผักกูด) ภาคอีสานและภาคใต้ (เรียกว่า หัสด า) ต่อเดือน ช่วงอายุ 6-8 เดือน หรือระยะที่เริ่มเก็บ
ผลผลิต เพื่อช่วยให้ผักกูดแตกยอด และผลผลิตเพิ่มขึ้น
การขยายพันธุ์ การปลูกและการดูแลรักษา o ด้านโรคและแมลง ผักกูดจัดเป็นพืชที่ไม่มีโรคและแมลง
รบกวน ดังนั้น ไม่มีการใช้สารเคมีเพื่อป้องกันก าจัดโรค
ขยายพันธุ์โดยใช้สปอร์ที่สร้างขึ้นบริเวณด้านหลังใบ เมื่อ และแมลง สามารถส่งเสริมผักกูดเป็นพืชผักปลอด
สปอร์ (Spore) ปลิวไปตกบริเวณที่มีความชื้นก็จะแตกเป็นต้นใหม่ สารพิษ
และขยายพันธุ์โดยใช้ต้นใหม่ที่เกิดจากส่วนเหง้าหรือรากฝอย
ของต้นแม่ (Rhizome)
ภาพที่ 1 แสดงส่วนขยายพันธุ์ การเจริญเติบโต และการแปรรูปเพื่อบริโภค ที่มา: [1]
- 4 -